วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2551

อ อา นอ อาน ไม้เอก อ่าน

หัดใช้ประโยคกันมาสักพัก วันนี้A&Yสรรหามาฝากเรื่องการอ่านมาฝากกันครับ
มีทั้งการอ่านตัวเลข ค่าเงิน เศษส่วน ส่วนสูง ผลคะแนน เบอร็โทรศัพท์
จำกันได้บ้างหรือเปล่า ถ้ายังไม่แน่ใจ ไม่ยากเลย ลองมาหัดอ่านกัน ดู.....
การอ่านตัวเลข
การอ่านเลขยาวๆ
233,448,346,857,698
เราควรแบบ ออกเป็น ส่วน ๆ ตาม เครื่อง ","
233 : two hundred thirty three trillion
448 : four hundred forty eight billion
346 : three hundred forty six million
857 : eight hundred fifty seven thousand
698 : six hundred ninty eight
อ่านรวม ๆ ทั้งหมดก็จะเป็น
"two hundred thirty three trillion _ four hundred forty eight billion _ three hundred
forty six million _ eight hundred fifty seven thousand _ six hundred ninty eight"

_ : เอาไว้หยุดหายใจ - - '
การอ่านเลขยกกำลัง
103 : ten to the power of three
การอ่านเลขทศนิยม
2.45 : two point four five
แต่ในกรณีที่เรารู้อยู่แล้วว่า มันเป็น ทศนิยมแค่ 2 หลัก เงินค่าเงินบาท
2.45 : two point forty five
การอ่านเลขเศษส่วน
1/3 : one - third
2/3 : two - thirds
1/16 : one - sixteenth
3/16 : three - sixteenth
หรืออ่านแบบง่าย ๆ ก็ได้ เห็นภาพดี
1/5 : one over five
3/8 : three over eight
การอ่านส่วนสูง
1.78 : one point seventy eight
a hundred seventy eight
one seventy eight
การอ่านผลคะแนน
2-1 : two one
two to one
การอ่านเลขเบอร์โทรศัพท์
864522808
เราควรแบบพักหายใจด้วย ไม่ใช่ว่าอ่านแบบทีเดียว
o eight six four five two two eight o eight
o eight six _ four five two _ two eight o eight (อันนี้อ่านแบบ 3 - 3 - 4)
เรารื้อฟื้นความจำ ในเรื่องของ Gramma มาพอสมควร และแล้ววันนี้ A&Yสรรหาประโยคง่าย ๆมาฝากครับ
ประโยคแรก =>do you have the time ?
Do you have the time ?ครั้งแรกที่ได้ยินนั้น ก็นึกว่า เค้าถามว่า "คุณมีเวลารึป่าว ?" (แปลตรงตัวมาก -''-)แต่ จริง ๆ แล้ว Do you have the time ? มีความหมายเหมือนกับ What time is it ? นั่นเองคร๊าบ

ประโยคที่ 2 =>ปุ๊บปั๊บ > no sooner...than
วันนี้ได้รู้จัก idiom อันนึง ไว้ใช้กับ ตอนที่ จะกล่าวถึงเหตุการณ์ที่ปุ๊บปั๊บ
โดยใช้ no sooner...than เช่น
No sooner had i reached my home than i washed my hands. (เป็นเด็กอนามัย)
หรือ
No sooner had my alarm clock rung than i woke up.
เป็นต้น
ซึ่ง ถ้าเป็นปกติแล้วเราอาจจะใช้แบบนี้ก็ได้
Immediately after i had reached my home then i washed my hands.

a few , few , little , a little


a few , few , little , a little
a few and few นั้นใช้กับ นามนับได้ เช่น
I have a few friends.I have few friends.
2 ประโยคนั้นหมายถึง ฉันมีเพื่อนไม่มากนัก เหมือนกัน แต่ ประโยคแรกนั้นจะแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ว่ามีเพื่อนไม่มากแต่ก็ไม่ได้มีอะไร คือ มีเพื่อนน้อยแต่ก็พอใจแต่ ประโยคที่สองนั้น เป็นการแสดงให้ ฉันมีเพื่อนน้อยจัง คือแบบไม่พออ่ะ ฉันอยากมีเพื่อนมากกว่านี้ ประมาณนั้น
ส่วน a little กับ little นั้นใช้กับนามนับไม่ได้เช่น
I have a little free time.I have little free time.
2 ประโยคข้างบนนั้นความหมายเหมือนกันแต่ แสดงถึงความรู้สึกที่แตกต่างกันเหมือนกัน การใช้ a few and few

การใช้ What -Whice

การใช้ What -Whice
เราคงเคยสับสนกับการใช้ what กับ which จนกระทั่งมีอาจารย์คนนึงความแตกต่างของมัน
สมมุติว่าเราจะถามคนๆ นึงว่าชอบสีอะไร เราก็ถามไปว่า
what color do you like ?
แต่ เรามีปากกา 3 ด้าม คือ สีแดง, สีดำ, สีน้ำเงิน แล้วเราถามเค้าว่าชอบสีอะไร ก็
which color do you like ?
สรุปก็คือ which จะใช้เมื่อเราจำกัด scope ของคำตอบ หรือ คำถามที่ให้ผู้ตอบเลือกนั่นเอง

การใช้ might

การใช้ might
โดยทั่วไปแล้ว "might" ที่เราใช้ ๆ กัน ก็คงจะหมายถึง "อาจจะ"
วันนี้ มาดูรูปแบบ การใช้ might ในแบบต่าง ๆ กัน
วันนี้ มาดูรูปแบบ การใช้ might ในแบบต่าง ๆ กัน
1. ใช้ might กับ Present Simple : เป็นการบอกถึงเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ในอนาคต
I might go there tomorrow.
They might win this match.

2. ใช้ might กับ Present Continuous : เป็นการบอกถึงเหตุการณ์คาดว่าเป็นอยู่ในปัจจุบัน
He might be thinking about his job.
She might be falling in love.
ในรูปแบบนี้จะไม่มีการใช้ verb to be , verb to have หรือ verb จำพวก แสดงว่าความรู้สึก
เช่น want, like, know , need, forget ...
His child might be being a university student.
She might be having a headache.
3. ใช้ might + have + V3 : เป็นการกล่าวถึงเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้ในอดีต
We might have got a price if we joined this game.
หรือ เหตุการณ์ที่น่าจะทำ(แต่ไม่ได้ทำ)ในอดีต
You might have went to blind date with me. There were a lot of nice girls.

Present Perfect Simple vs Present Perfect Continuous


Present Perfect Simple vs Present Perfect Continuous
สอง tense แบ่งแยกค่อนข้างยากหน่อย แต่โดยทั่วไปแล้ว เราใช้ Present Perfect
Simple ตอนที่เราต้องการเน้นที่ กรรมหรือผลของรูปประโยคนั้น เช่น
I've read about 20 books. (อ่านมาตั้ง 20 เล่มแล้ว !!)
และใช้ Present Perfect Continuous ตอนที่เราต้องการเน้นถึงการกระทำ เช่น
I've been reading all of these documents. (อ่านนนนน เอกสารทั้งหมดเนี่ย)
แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว รูปแบบคำถามที่เป็น How long เราก็มักจะใช้ PPC เช่น
How long have you been reading this book ?
ส่วนรูปแบบคำถาม How much , How many ก็มักใช้ PPS เช่น
How many book have you read ?
และยังมี verb บางตัวที่ไม่ใช้ใน PPC ได้แก่
love, like, hate, prefer, know, understand, remember, forget,
want, need, mean, have

การกล่าวเชิงสรุปด้วย must และ can't


การกล่าวเชิงสรุปด้วย must และ can't
เราใช้ must ในการกล่าวเชิงสรุป เช่น
Podjamarn has a huge house and many cars.
So she must be rich.
แต่ถ้าเป็นรูปแบบปฏิเสธเราจะใช้ can't เช่น
Takky never do anything.
So he can't be tried !

รูปแบบการใช้ที่บอกไปด้านบนจะใช้ต่อเมื่อเราแน่ใจ (เนื่องจากมันเป็นเหตุเป็นผลกัน)
แต่ในกรณีที่เราไม่ค่อยแน่ใจมาก เราจะใช้ could
เช่น
Hey look at that guy overthere , Do you think he is japanese ?
- Yes , he could be. (I'm not sure)

การใช้ in / on / at for time

การใช้ in / on / at for time
in ใช้กับเวลาที่ไม่เฉพาะเจาะจง : วัน,เดือน,ฤดู หรือ ปี
She likes to swim in the morning.
It's too cold in the winter to run outside.
He got married in 1971.
He's going to school in August

in ใช้กับช่วงของเวลา พวก ช่วงเช้า, เดือนมีนาคม หรือ ปี 2550
on เป็นการพูดถึงวัน
My mother is coming on Monday.
We're having a party on the First of May.
I get paid on the last day of the month.
We went to the party on Easter Sunday.
on ใช้กับ calendar time (หรือ พวกวันทั้งหลาย)
I went her house on her birthday.
I'll be there on April 10th.
I met him on last Monday.
at ใช้กับเวลาที่เฉพาะเจาะจง
The train arrives at 12:15 p.m.
He often comes home at midnight.
I will see hime at Christmas.
He told me the news at breakfast yesterday.
at ใช้กับ clock time (หรือพวกเวลา)
at once : immediately
My class starts at 8.00 a.m.
I slept at midnight, yesterday.
at times : sometimes or occasionally
At times, I don't want to get up and go to work.

Can กับ be able to

Can กับ be able to
ถ้าพูดถึงเรื่องความสามารถแล้วล่ะก็ ในภาษาอังกฤษ เราคงใช้คำว่า "can" กันเป็นพื้นฐาน
เช่น i can do this , i can do that
แต่ถ้าจะพูดถึง สิ่งที่จะสามารถทำในอนาคตได้นั้น เราจะใช้ can นั้นหรือ ?
ถ้าใช้มันก็จะเป็น ...
i will can do this
แปลกไหม ? (ต้องตอบว่าแปลกนะ)
อืม เค้าเลยใช้ be able to มาแทน
ก็เลยกลายเป็น i'll be able to do this, i'll be able to do that
แล้วถ้าพูดถึงเรื่องอดีตหล่ะ ?
เราก็สามารถใช้ได้ could และ was/were able to ได้
แต่มันจะมีความหมายต่างกันนึดนึงในประโยคบอกเล่าตรงที่
could เนี่ยจะใช้บอกความหมายของความสามารถทั่วๆ ไปในอดีต (เป็นช่วงเวลา)
แต่ was/were able to จะบอกถึงความสามารถ ณ จุดเวลานึง ๆ เช่น
i could play snooker very well when i was young.
i was able to meet her after work yesterday.

Can กับ be able to

Can กับ be able to
ถ้าพูดถึงเรื่องความสามารถแล้วล่ะก็ ในภาษาอังกฤษ เราคงใช้คำว่า "can" กันเป็นพื้นฐาน
เช่น i can do this , i can do that
แต่ถ้าจะพูดถึง สิ่งที่จะสามารถทำในอนาคตได้นั้น เราจะใช้ can นั้นหรือ ?
ถ้าใช้มันก็จะเป็น ...
i will can do this
แปลกไหม ? (ต้องตอบว่าแปลกนะ)
อืม เค้าเลยใช้ be able to มาแทน
ก็เลยกลายเป็น i'll be able to do this, i'll be able to do that
แล้วถ้าพูดถึงเรื่องอดีตหล่ะ ?
เราก็สามารถใช้ได้ could และ was/were able to ได้
แต่มันจะมีความหมายต่างกันนึดนึงในประโยคบอกเล่าตรงที่
could เนี่ยจะใช้บอกความหมายของความสามารถทั่วๆ ไปในอดีต (เป็นช่วงเวลา)
แต่ was/were able to จะบอกถึงความสามารถ ณ จุดเวลานึง ๆ เช่น
i could play snooker very well when i was young.
i was able to meet her after work yesterday.

การใช้ have to & must

have to & must
have to กับ must มีความหมายที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน
ซึ่งก็คือ "จำเป็นต้อง"
แต่ must จะมีความหมายที่ค่อนข้างแข็งกว่า have to
- have to นั้น เราไม่มีเขียนในรูปสั้นๆ
เช่น I've to do this.
- ในรูปอดีตนั้น เราจะไม่ใช้ must กัน ถ้าพูดถึงสิ่งที่ต้องทำในอดีตนั้นเราจะใช้แต่ had to
Did you have to do this ?
Did you must do this ?

การใช้ Could

การใช้ could
1.เป็นรูปอดีตของ can ที่แสดงถึงความสามารถ
Ex : I could play piano when i was a child.
2.เป็นการคาดเดาเมื่อเราไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง
Ex : Yes, that could be John. He ofter wears a white shirt.
3. เป็นการร้องขออย่างสุภาพหรือเสนอแนะ
Ex : Could you get those books for me ? (ร้องขอ)
We could go to see the movies after lunch. (เสนอแนะ)
เรื่องระหว่า could กับ should อาจจะสร้างความสับสนในการใช้ให้กับเราบ้าง
แต่ should นั้นเราจะใช้เมื่อเราต้องการให้คำแนะนำหรือบอกในสิ่งที่ถูกต้องที่ควรทำกับผู้อื่น
Ex : You should buy some new shirt.

การใช้ About to

การใช้ About to
เราใช้ V to be + about to + Verb สำหรับ การกระทำหรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
อันใกล้นี้ เช่น
Hey ! look at the sky . It is about to rain.
Hurry, the train is about to leave.
You are about to get a problem.

การใช้ If กับ When

วันนี้ A&Y สรรหาประโยคภาษาอังกฤษ แบบรื้อฟื้นความจำกันสักนิด เริ่มตั้งแต่ Grammar ก่อนเลยนะครับ
Grammar
การใช้ If กับ When
I will buy a new computer when i get bonus. (1)
I will buy a new computer if i get bonus. (2)
2 ประโยคข้างบนต่างกันโดยที่
(1) นั่นหมายความว่า ฉันได้โบนัสแน่ ๆ แล้วเมื่อได้ก็จะซื้อคอมใหม่
(2) นั่นหมายความว่า อาจจะได้หรือไม่ได้โบนัส ก็ได้ แต่ถ้าได้อ่ะนะ ซื้อคอมใหม่
การใช้ About to
เราใช้ V to be + about to + Verb สำหรับ การกระทำหรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
อันใกล้นี้ เช่น
Hey ! look at the sky . It is about to rain.
Hurry, the train is about to leave.
You are about to get a problem.

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551

กลอนภาษาอังกฤษ




อรุณสวัสดิ์ เช้า ๆ อย่างนี้ ตื่นมารับอากาศที่สดใส อารมณ์ดี และก็มาอ่านกลอนเพราะ ๆ ที่ A&Y สรรหามาฝากกันนะคร๊าบ


You'll alway know when the right person walk in to your life.If he's the right man for you just can't let himslip on by.


คุณจะรู้ได้เสมอ เมื่อใครสักคนที่ใช่เดินเข้ามาในชีวิตและถ้าเขาคือคนที่ใช่ขอเพียงคุณอย่าปล่อยให้เขาเดินจากไป...





I wish to be a star in your darkness.I wish to be with you in the stormy day.I wais to be your friend always.


ขอเป็นแสงแดงส่องสว่างในคืนมืดมิด ขอเป็นเพื่อนชีวิตไม่ห่างหายขออยู่เคียงข้างแม้ในวันที่มีพายุร้าย ขออยู่ถึงวันสุดท้ายที่มีเธอ





You’re in my thought.You’re in my days and in my heart always.


เธออยู่ในความคิดถึงและทุกที่ที่มีฉันเธออยู่ในคืนวัน อยู่ในความผูกพันของหัวใจ





"Absence does for love what the wind does for a flame: it extinguishes the weak, and feeds the strong."


ความรักไม่มีตัวตน เสมือนกับลมที่ทำให้เปลวไฟติดหรือดับได้ รักก็สามารถทำให้คนอ่อนแอหรือเข้มแข็งได้เช่นกัน








วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2551

Isabella Leong หรือTakeko (ทาเคโกะ)


Yong สรรหาเกี่ยวกับภาพยนต์ Spider Lilies

เรื่องจูบแรกกอดสุดท้าย มาฝาก Aui ซึ่งเค้าชอบเหลือเกิน...
Spider Lilies เป็นหนังที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศลึกลับ อิโรติค และเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ให้ชวนขบคิด ตั้งแต่ชื่อเรื่อง "สไปเดอร์ ลิลลี่" ที่ในหนังบอกว่าเป็นดอกไม้แห่งความตายที่งอกบนเส้นทางสู่นรก อีกทั้งทุกบทสนทนาและเรื่องราวก็ล้วนสื่อความหมายให้แก่กันเป็นทอด ๆ ซึ่งถ้าลองได้แกะรอยหรือคิดตาม ก็จะพบความสนุกอย่างยิ่งยวดในการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ และแม้ว่าเนื้อหาของหนังจะดูหนัก เศร้า และเหงาจัดอยู่มาก ทว่าก็ยังมีความสดใสงดงาม และมีความหวังสอดแทรกอยู่เป็นระยะๆ เหมือนกัน

++ เนื้อเรื่องย่อภาพยนตร์ Spider Lilies ++
Spider Lilies เป็น หนังเลสเบี้ยน สร้างโดย ซีโร่ โจว ผู้กำกับฯ ที่ (ยอมรับว่าตัวเอง) เป็นเลสเบี้ยน แถมยังได้ รางวัลหนังเกย์/เลสเบี้ยนยอดเยี่ยม จาก เทศกาลหนังเบอร์ลิน แต่ไม่ว่าจะสังกัดเพศไหน มีรสนิยมเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แบบใด หนังเรื่องนี้ก็มีดีสำหรับคุณทั้งนั้น เพราะนอกจากประเด็นความสัมพันธ์ของผู้หญิง 2 คนที่รักใคร่ผูกพันกัน (ฉันชู้สาว) หนังยังชวนเราไปทบทวน "อดีต" และดู "ปัจจุบัน" ของพวกเธอและตัวเองเราอีกด้วย ในส่วนของอดีต แน่นอนว่าเราทุกคนล้วนเป็นผลผลิตของวันวานด้วยกันทั้งสิ้น วัยเด็กคิด-เห็น-ถูกเลี้ยงดูมาอย่างไร ก็ล้วนมีส่วนหล่อหลอมความเป็นเราในวันนี้ทั้งนั้น

เจด (เรนนี่ หยาง) ในวัยเด็กนั้น ถูกมารดาทอดทิ้งหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เธอถูกทิ้งไว้ ในขณะที่น้องชายถูกแม่ "เลือก" ช่วยชีวิตและพาไปอยู่ด้วย ทำให้หญิงสาวต้องมาอยู่ในความเลี้ยงดูของยายตาบอด
แล้ววันหนึ่ง เธอก็ได้พบกับ ทาเคโกะ (อิซาเบลลา เหลียง) รุ่นพี่มาด (และใจ) ทอมบอย ด้วยความที่เหงาไม่มีใคร เธอจึงยึด ทาเคโกะ ไว้เป็นคนสำคัญของชีวิต ความจริงเจดเรียกความสัมพันธ์กับทาเคโกะว่า "รักครั้งแรก" เลยด้วยซ้ำ
ด้านทาเคโกะนั้นก็มีความทรงจำวัยเด็กอันปวดร้าวไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะหลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหว เธอก็ต้องสูญเสียพ่อ อีกทั้งความสัมพันธ์ของเธอกับน้องชายก็เปลี่ยนไปในทางลบ โดยหญิงสาวเฝ้าแต่โทษว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของตัวเอง

สำหรับ เจด แม้จะถูกทอดทิ้ง แต่เธอก็ยังมีช่วงเวลาที่งดงามอยู่บ้างยามได้อยู่กับรุ่นพี่ ในขณะที่ทาเคโกะมีแต่ความรู้สึกปวดร้าวผิดบาป เธอคนแรกจึงเลือกที่จะจดจำอดีตของตน ในขณะที่คนหลังพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะลืม
หลายปีผ่านไป ทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้ง โดยที่ปัจจุบันขณะที่เจดคือ สาวเว็บแคม ส่วนทาเคโกะนั้น รับจ้างสัก ซึ่งอาชีพของทั้ง 2 สาวดูจะมีความแตกต่าง คนหนึ่งให้บริการแก่ผู้ที่เธอไม่รู้ตัวตน อีกคนสร้างตัวตนหรือจารึกสิ่งที่เป็นรูปธรรมให้ลูกค้า
"ฉันคือของเก๊สำหรับเธอรึเปล่า" ตำรวจหนุ่มที่มาล่อซื้อบริการ ทว่ากลับตกหลุมรักเจดในที่สุด ถามขึ้น ด้วยอินเตอร์เน็ตนั้น จะว่ากันตามจริงก็เป็นแค่โลกเสมือน

"ถ้าคุณจำฉันได้ ฉันจำคุณได้ ก็แปลว่ามีตัวตน" เธอตอบ
โลกของเธอจึง "มีจริง" อยู่บ้าง แม้ว่าจะดูเหมือน "ไม่มี" ด้วยเหตุนี้
"เธอไม่สามารถเป็นตัวแทนใครได้เพราะรอยสักหรอกนะ" ภาพหลอนของพ่อที่ตายไปบอกแก่ทาเคโกะ หลังจากที่เธอพยายามสักรูปดอก "สไปเดอร์ ลิลลี่" บนแขนซ้ายอย่างที่พ่อมี เพราะอยากเป็นตัวแทนพ่อให้แก่น้องชาย
การสักจึงไม่สามารถสร้างตัวตนให้ใคร (อย่างน้อยก็ตัวเธอ) ได้อย่างที่ควรจะเป็นเพราะเหตุนี้
"คนที่ไม่ยอมหลับ คือคนที่สับสนระหว่างโลกแห่งความจริงและความฝัน" ตัวละครหนึ่งพูดไว้ และบางทีหญิงสาวทั้งคู่อาจจะกำลัง "นอนไม่หลับ" และ "สับสน" กับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ก็เป็นได้


++ เกี่ยวกับภาพยนตร์ Spider Lilies ++
ชื่อภาพยนตร์ : Spider Lilies (2007)ชื่อไทย : จูบแรก-กอดสุดท้าย หัวใจไม่เคยลืมชื่ออื่นๆ : Ci qing ประเภทภาพยนตร์ : Drama, Romanceความยาว : 94 นาทีกำกับโดย : Zero Chou (ซีโร่ โจว)เขียนโดย : Zero Chou วันเข้าฉาย : 30/08/2007 โรงภาพยนตร์ : เฉพาะโรงภาพยนตร์ House Rca เท่านั้น สร้างโดยประเทศ : Taiwanจำหน่ายโดย : มงคลภาพยนตร์เว็บไซต์ :
http://www.encorefilms.com/spiderlilies , http://spiderlilies-movie.com

++ นักแสดงนำในภาพยนตร์ Spider Lilies ++
Isabella Leong (อิซาเบลล่า เหลียง) ... Takeko (ทาเคโกะ) ชื่ออื่น ๆ : Lok-Sวันเกิด : 23/03/1988ประวัติย่อ : คอหนังเอเชียคงรู้จัก อิซาเบลลา เหลียง ดี เรียกได้ว่าในวินาทีนี้ นักแสดงสาวที่มาแรงที่สุดไม่สามารถมีใครแซงหน้าเธอได้ หนังที่อิซาเบลลา เหลียงเล่น ไปคว้ารางวัลจากเทศกาลหนังเมืองเบอร์ลินถึง 2 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ Isabella (2006) และ Spider Lilies (2007)อิซาเบลลา เกิดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 1988 ที่มาเก๊า เธอเข้าวงการตอนอายุ 17 ปี เล่นหนังเต็มตัวเรื่องแรกคือ The Eye 10 ของพี่น้องแปง โด่งดังจากการเป็นนางแบบ และเป็นนักร้องในสังกัด EEG ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของฮ่องกง

ผลงาน : - Bug Me Not! (2005)- Dragon Squad (2005)- A Chinese Tall Story (2005) ผลงานเพลง : - Isabella (EP) (2004)- I am Isabella (EP) (2005)- To Find Love (EP) (2005)ผลงานแสดงที่ผ่านมา : - Spider Lilies (2007) ... ทาเกโกะ - Isabella (2006) ... หยาน - A Chinese Tall Story ( 2006) ... หงไห่เอ๋อ - คนเห็นผี10 (2005) ... เอพริล
Rainie Yang (เรนนี่ หยาง) ... Jade (เจด) ชื่ออื่น ๆ : หยางเฉิงหลินวันเกิด : 04/06/1984ประวัติย่อ : ถึงจะตัวเล็กกว่า แต่ เรนนี่ หยาง ก็อายุมากกว่าอิซาเบลลาถึง 4 ปี เธอเกิดวันที่ 4 มิถุนายน 1984 ที่ไทเป เข้า วงการด้วยการเป็นนักร้องเพลงป๊อบ 4 คน ในนาม 4 in Love หลังจากวงสลายตัว เธอผันตัวเองมาเป็นพิธีกร จนเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นกับรายการ Guess Guess Showเรนนี่เล่นละครบ้างประปราย แต่เธอกลับมามีชื่ออีกครั้งด้วยการออกอัลบั้มเดี่ยวในปี 2005 และแสดงความสามารถอันล้นเหลือในหนังเรื่อง Spider Lilies จนได้รับคำชมอย่างล้นหลามผลงานแสดงที่ผ่านมา : - Spider Lilies (2007) ... เจด
Jay Shih (เจย์ ซื่อ) ... Adong (อาตง) ชื่ออื่น ๆ : ซื่อหยวนเจี้ยประวัติย่อ : ซื่อหยวนเจี้ย เป็นนักร้องชื่อดังของไต้หวันที่หันมาลองเล่นหนังดูบ้าง ใน Spider Lilies เขารับบทเป็นผู้ชายที่เข้ามาร่วมรู้เห็นในความสันพันธ์ระหว่างตัวละครเอก ผลงานแสดงที่ผ่านมา :- Spider Lilies (2007) ... อาตง
John Shen (จอห์น เชง) ... Ching (อาฉิง) ประวัติย่อ : ป๊อบปูล่าในหมู่สาวๆ ไต้หวันอย่างรุนแรง จอห์น เชง เป็นหนึ่งในนักร้องวงป๊อบ-ทรีโอ ที่กำลังฮอตสุดๆ เขามารับบทเป็นน้องชายของอิซาเบลลา เหลียง ว่ากันว่ารายได้ส่วนหนึ่งของหนังมาจากแฟนๆ ของเขาผลงานแสดงที่ผ่านมา : - Spider Lilies(2007) ... อาฉิง


++ เกร็ดจากภาพยนตร์ Spider Lilies ++* Spider Lilies เข้าฉายใน เทศกาลภาพยนตร์เมืองเบอร์ลินปี 2007 และคว้า รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เทดดี้ อวอร์ดส์ (สำหรับหนังเกย์/เลสเบี้ยน) มาครองได้อย่างเป็นเอกฉันท์ * ผู้กำกับ ซีโร่ โจว เปิดเผยว่าตนเองเป็น เลสเบี้ยน มีผลงานการกำกับเรื่องแรกคือ Splendid Float ก็เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับ รักร่วมเพศ ซึ่งชนะ รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวทีม้าทองคำปี 2004 ก่อนหน้านี้เธอเรียนจบสาขาปรัชญา และทำงานเป็นนักข่าว ก่อนจะผันตัวเองมาทำหนังสารคดี นับตั้งแต่ปี 1997 ที่ทำหนังครั้งแรก ปัจจุบันโจวทำหนังและสารคดีไปแล้วเกือบ

เรื่องของความรักกับเวลา


เรื่องของ ความรักกับเวลา...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเกาะแห่งหนึ่งซึ่งรวบรวมความรู้สึกทั้งหมดอาศัยอยู่ด้วยกัน ทั้งความสุข ความเศร้า ความรู้และอื่นๆ รวมทั้งความรัก วันหนึ่งความรู้ก็ได้บอกกับทุกคนว่า เกาะที่ทุกคนนั้นอาศัยอยู่กันมานานกำลังจะจมลงใต้ผืนน้ำ ให้ทุกคนเตรียมเรือเพื่อที่จะหนีออกจากเกาะ ทุกคนจึงรีบตัดสินใจเตรียมเรือกันทันที แต่มีเพียง ความรักเท่านั้นที่ตัดสินใจอยู่บนเกาะ ความรักต้องการที่จะอยู่จนกระทั่งวินาทีสุดท้าย เมื่อเกาะกำลังจะจมลงน้ำ ความรักก็เริ่มรักชีวิตตัวเองขึ้นจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือ ความรวย แล่นเรือผ่านได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากความรัก จึงตอบไปว่า "ไม่ได้หรอกฉันรับเธอไม่ได้ เพราะเรือฉันน่ะ เต็มไปด้วยทองและเงินแล้วมันไม่มีที่ให้คุณ" ความรักจึงตัดสินใจขอร้องความเห็นแก่ตัวซึ่งผ่านมาเหมือนกันด้วยเรือลำงาม " ความเห็นแก่ตัวช่วยฉันด้วย" "ฉันช่วยคุณไม่ได้หรอก ความรักคุณน่ะเปียก อาจจะทำให้เรือฉันเปียกด้วย" ความเศร้าได้พายเรือผ่านมา ความรักก็ได้เอ่ยขอความช่วยเหลืออีก ความเศร้าตอบว่า "โอ้ความรักฉันกำลังเศร้ามากเลย ฉันต้องการอยู่คนเดียว ขอโทษนะ" ความสุขได้ผ่านความรักไปเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้ยินแม้เสียงร้องเรียกขอความช่วยเหลือของความรัก เพราะมัวแต่กำลังมีความสุข ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา " มานี่ความรักฉันจะรับคุณไปเอง" เสียงนั้นเป็นของคนแก่คนหนึ่ง ความรักรู้สึกขอบคุณและดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินที่แห้ง คนแก่ก็จากไปตามทางของเขา ความรักนึกขึ้นมาได้ว่าลืมถามชื่อคนแก่คนนั้นความรักจึงถามความรู้จนเจอและได้สอบถาม " ความรู้ ใครเหรอที่เป็นคนช่วยฉัน" ความรู้ตอบว่า "เวลาไงหล่ะ" ความรัก "แต่ทำไมเวลาจึงช่วยฉันล่ะ ?" ความรู้ยิ้มในความรอบรู้ของตัวเอง แล้วตอบความรักว่า ก็เพราะว่ามีเพียงเวลาเท่านั้นที่เข้าใจว่าความรักยิ่งใหญ่แค่ไหน

สรรหามาฝากจาก A & Y เรื่องราวความรัก น่ารัก ลองอ่านดู...

อ่านแล้วห้ามอมยิ้มนะ โปรดใช้หัวใจของคุณอ่านด้วยความความเข้าใจและยินดี!! เรื่องราวของคู่รักคู่หนึ่งที่คบกันมานาน 10 ปี เขาทั้งคู่มีวิธีรักษาความสัมพันธ์ของความรักได้เก๋ทีเดียว ลองอ่านดู...เผื่อเรื่องราวนี้อาจจะสร้างแรงบันดาลใจในการประคับประคองความรัก และทำให้คุณคิดจะหันกลับไปมองดูคู่รักที่คุณเคยเบื่อ เคยรำคาญ และเคยอยากจะเลิก เรื่องราวมีอยู่ว่า............................. ผู้หญิงคนนี้คบกับแฟนมา 5 ปี และแต่งงานกันอีก 5 ปี วันหนึ่ง เธอขับรถกลับบ้านซึ่งปกติก้อจะโทรถามเขาทุกวันว่ากลับมาบ้านหรือยัง เธอนึกสนุกๆ ว่าเขาจะกลับมาก่อนเธอมั้ยนะ แล้วก้อคิดว่า "คงไม่มั้ง” พอมาถึงบ้านก้อเก็บข้าวของลงจากรถตามปกติ พอเดินเข้าไปในบ้านปุ๊บเธอก้อเจอลูกโป่งลอยเต็มไปหมด หนึ่งในนั้นมีซองจดหมายผูกติดอยู่สองซอง ซองแรกเขียนไว้ว่า "เปิดผมก่อน" แล้วก้อมีข้อความเขียนว่า "ให้เดินไปกดสเตอริโอ แล้วเปิด CD ถาดที่ 1 หลังจากนั้นให้นั่งลงอ่านจดหมายอีกฉบับ " เธอทำตามอย่างนึกขำ แล้วเพลง " I love you for sentimental reason” ก้อดังขึ้น เพลงนี้เป็นเพลงโปรดของคนทั้งคู่ตลอดกาลเธอเคยขอให้เขาร้องให้ฟังบ่อยๆ พอเธอเปิดจดหมายอีกฉบับก้อมีโน้ตจากเขาเขียนว่า........ "ผมหลงรักคุณมาสิบปีเต็มวันนี้ก้อยังรักคุณเหมือนวันแรกที่รักและอยากบอกรักคุณอีกครั้ง " โปรดทำตามคำแนะนำต่อไปนี้....... 1.อาบน้ำให้สบายที่สุดด้วยครีมอาบน้ำกลิ่นนี้จากผม หลับตาแล้วนึกถึงความรู้สึกในวันเก่าๆ ของเรา ว่าคุณตื่นเต้นแค่ไหนเวลาออกเดทกับผม 2. แต่งตัวสบายๆ ใส่เสื้อยืดลายการ์ตูนที่คุณชอบกับกางเกงยีนส์ แล้วก้อรองเท้าผ้าใบ เพราะคุณดูเป็นตัวเองที่สุดแล้วผมก้อหลงรักคุณในชุดนั้น 3. ออกจากบ้านตอนหนึ่งทุ่มตรง ขับรถไปเรื่อยๆ ผ่านเซเว่นหน้าปากซอย เลี้ยวซ้ายหยุดตรงป้ายรถเมล์ป้ายแรก คุณจะเจอชายหนุ่มหน้าตาดี ยืนยิ้มรอคุณอยู่ อย่ามาสายล่ะ คืนนี้จะเป็นอีกคืนของเราสองคนออกเดทกันอีกครั้ง จาก...ผม" ความรักคงไม่ใช่สิ่งที่ดูเลวร้ายและเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสของชีวิตอีกต่อไป หากเราและคนรักจะก้าวออกมาจากทิฐิที่มีต่อกัน ลองหันกลับไปมองดูกำแพงที่ก่อเอาไว้แล้วหยิบค้อนขึ้นมาเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย ทุบกำแพงที่กั้นกลางความเข้าใจนั้นซะ แล้วคุณกับคนรักจะเจออะไรบางอย่าง