วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2551

อ อา นอ อาน ไม้เอก อ่าน

หัดใช้ประโยคกันมาสักพัก วันนี้A&Yสรรหามาฝากเรื่องการอ่านมาฝากกันครับ
มีทั้งการอ่านตัวเลข ค่าเงิน เศษส่วน ส่วนสูง ผลคะแนน เบอร็โทรศัพท์
จำกันได้บ้างหรือเปล่า ถ้ายังไม่แน่ใจ ไม่ยากเลย ลองมาหัดอ่านกัน ดู.....
การอ่านตัวเลข
การอ่านเลขยาวๆ
233,448,346,857,698
เราควรแบบ ออกเป็น ส่วน ๆ ตาม เครื่อง ","
233 : two hundred thirty three trillion
448 : four hundred forty eight billion
346 : three hundred forty six million
857 : eight hundred fifty seven thousand
698 : six hundred ninty eight
อ่านรวม ๆ ทั้งหมดก็จะเป็น
"two hundred thirty three trillion _ four hundred forty eight billion _ three hundred
forty six million _ eight hundred fifty seven thousand _ six hundred ninty eight"

_ : เอาไว้หยุดหายใจ - - '
การอ่านเลขยกกำลัง
103 : ten to the power of three
การอ่านเลขทศนิยม
2.45 : two point four five
แต่ในกรณีที่เรารู้อยู่แล้วว่า มันเป็น ทศนิยมแค่ 2 หลัก เงินค่าเงินบาท
2.45 : two point forty five
การอ่านเลขเศษส่วน
1/3 : one - third
2/3 : two - thirds
1/16 : one - sixteenth
3/16 : three - sixteenth
หรืออ่านแบบง่าย ๆ ก็ได้ เห็นภาพดี
1/5 : one over five
3/8 : three over eight
การอ่านส่วนสูง
1.78 : one point seventy eight
a hundred seventy eight
one seventy eight
การอ่านผลคะแนน
2-1 : two one
two to one
การอ่านเลขเบอร์โทรศัพท์
864522808
เราควรแบบพักหายใจด้วย ไม่ใช่ว่าอ่านแบบทีเดียว
o eight six four five two two eight o eight
o eight six _ four five two _ two eight o eight (อันนี้อ่านแบบ 3 - 3 - 4)
เรารื้อฟื้นความจำ ในเรื่องของ Gramma มาพอสมควร และแล้ววันนี้ A&Yสรรหาประโยคง่าย ๆมาฝากครับ
ประโยคแรก =>do you have the time ?
Do you have the time ?ครั้งแรกที่ได้ยินนั้น ก็นึกว่า เค้าถามว่า "คุณมีเวลารึป่าว ?" (แปลตรงตัวมาก -''-)แต่ จริง ๆ แล้ว Do you have the time ? มีความหมายเหมือนกับ What time is it ? นั่นเองคร๊าบ

ประโยคที่ 2 =>ปุ๊บปั๊บ > no sooner...than
วันนี้ได้รู้จัก idiom อันนึง ไว้ใช้กับ ตอนที่ จะกล่าวถึงเหตุการณ์ที่ปุ๊บปั๊บ
โดยใช้ no sooner...than เช่น
No sooner had i reached my home than i washed my hands. (เป็นเด็กอนามัย)
หรือ
No sooner had my alarm clock rung than i woke up.
เป็นต้น
ซึ่ง ถ้าเป็นปกติแล้วเราอาจจะใช้แบบนี้ก็ได้
Immediately after i had reached my home then i washed my hands.

a few , few , little , a little


a few , few , little , a little
a few and few นั้นใช้กับ นามนับได้ เช่น
I have a few friends.I have few friends.
2 ประโยคนั้นหมายถึง ฉันมีเพื่อนไม่มากนัก เหมือนกัน แต่ ประโยคแรกนั้นจะแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ว่ามีเพื่อนไม่มากแต่ก็ไม่ได้มีอะไร คือ มีเพื่อนน้อยแต่ก็พอใจแต่ ประโยคที่สองนั้น เป็นการแสดงให้ ฉันมีเพื่อนน้อยจัง คือแบบไม่พออ่ะ ฉันอยากมีเพื่อนมากกว่านี้ ประมาณนั้น
ส่วน a little กับ little นั้นใช้กับนามนับไม่ได้เช่น
I have a little free time.I have little free time.
2 ประโยคข้างบนนั้นความหมายเหมือนกันแต่ แสดงถึงความรู้สึกที่แตกต่างกันเหมือนกัน การใช้ a few and few

การใช้ What -Whice

การใช้ What -Whice
เราคงเคยสับสนกับการใช้ what กับ which จนกระทั่งมีอาจารย์คนนึงความแตกต่างของมัน
สมมุติว่าเราจะถามคนๆ นึงว่าชอบสีอะไร เราก็ถามไปว่า
what color do you like ?
แต่ เรามีปากกา 3 ด้าม คือ สีแดง, สีดำ, สีน้ำเงิน แล้วเราถามเค้าว่าชอบสีอะไร ก็
which color do you like ?
สรุปก็คือ which จะใช้เมื่อเราจำกัด scope ของคำตอบ หรือ คำถามที่ให้ผู้ตอบเลือกนั่นเอง

การใช้ might

การใช้ might
โดยทั่วไปแล้ว "might" ที่เราใช้ ๆ กัน ก็คงจะหมายถึง "อาจจะ"
วันนี้ มาดูรูปแบบ การใช้ might ในแบบต่าง ๆ กัน
วันนี้ มาดูรูปแบบ การใช้ might ในแบบต่าง ๆ กัน
1. ใช้ might กับ Present Simple : เป็นการบอกถึงเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ในอนาคต
I might go there tomorrow.
They might win this match.

2. ใช้ might กับ Present Continuous : เป็นการบอกถึงเหตุการณ์คาดว่าเป็นอยู่ในปัจจุบัน
He might be thinking about his job.
She might be falling in love.
ในรูปแบบนี้จะไม่มีการใช้ verb to be , verb to have หรือ verb จำพวก แสดงว่าความรู้สึก
เช่น want, like, know , need, forget ...
His child might be being a university student.
She might be having a headache.
3. ใช้ might + have + V3 : เป็นการกล่าวถึงเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้ในอดีต
We might have got a price if we joined this game.
หรือ เหตุการณ์ที่น่าจะทำ(แต่ไม่ได้ทำ)ในอดีต
You might have went to blind date with me. There were a lot of nice girls.

Present Perfect Simple vs Present Perfect Continuous


Present Perfect Simple vs Present Perfect Continuous
สอง tense แบ่งแยกค่อนข้างยากหน่อย แต่โดยทั่วไปแล้ว เราใช้ Present Perfect
Simple ตอนที่เราต้องการเน้นที่ กรรมหรือผลของรูปประโยคนั้น เช่น
I've read about 20 books. (อ่านมาตั้ง 20 เล่มแล้ว !!)
และใช้ Present Perfect Continuous ตอนที่เราต้องการเน้นถึงการกระทำ เช่น
I've been reading all of these documents. (อ่านนนนน เอกสารทั้งหมดเนี่ย)
แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว รูปแบบคำถามที่เป็น How long เราก็มักจะใช้ PPC เช่น
How long have you been reading this book ?
ส่วนรูปแบบคำถาม How much , How many ก็มักใช้ PPS เช่น
How many book have you read ?
และยังมี verb บางตัวที่ไม่ใช้ใน PPC ได้แก่
love, like, hate, prefer, know, understand, remember, forget,
want, need, mean, have

การกล่าวเชิงสรุปด้วย must และ can't


การกล่าวเชิงสรุปด้วย must และ can't
เราใช้ must ในการกล่าวเชิงสรุป เช่น
Podjamarn has a huge house and many cars.
So she must be rich.
แต่ถ้าเป็นรูปแบบปฏิเสธเราจะใช้ can't เช่น
Takky never do anything.
So he can't be tried !

รูปแบบการใช้ที่บอกไปด้านบนจะใช้ต่อเมื่อเราแน่ใจ (เนื่องจากมันเป็นเหตุเป็นผลกัน)
แต่ในกรณีที่เราไม่ค่อยแน่ใจมาก เราจะใช้ could
เช่น
Hey look at that guy overthere , Do you think he is japanese ?
- Yes , he could be. (I'm not sure)